วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2559



สมุทรโฆษคำฉันท์

            สมุทรโฆษคำฉันท์  เป็นวรรณคดีสำคัญเรื่องหนึ่งที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดแห่งคำประพันธ์ประเภทฉันท์ ใช้เวลาแต่งยาวนานมากถึง  ๑๖๐ ปี

ผู้แต่ง     วรรณคดีเรื่องนี้มีผู้แต่งถึง ๓ คน กล่าวคือ
            ในคำนำหนังสือสมุทรโฆษคำฉนท์ของกรมศิลปากร  พ.ศ.  ๒๕๐๓  สรุปได้ว่า  ผู้แต่งในสมัยอยุธยาเชื่อกันว่าเป็นพระมหาราชครู  ซึ่งเริ่มแต่งตั้งแต่ต้นจนถึงพระสมุทรโฆษและนางพินทุมวดีใช้บน      ก็ถึงแก่อนิจกรรม  สมเด็จพระนารายณ์มหาราชจึงทรงพระราชนิพนธ์ต่อจนถึงพิทยาธรรณาภิมุขกำสรวล  จุดประสงค์ของการแต่งเพื่อใช้เป็นบทเล่นหนังในงานเบญจาพิธ  ส่วนเวลาที่แต่งนั้น  เชื่อว่าแต่งในสมัยพระนารายณ์มหาราชส่วนหนึ่งแล้วพักไว้  มาแต่งต่อจนจบได้โดยสมเด็จฯ  กรมพระปรมานุชิตชิโนรส  ในรัชกาลที่  ๓  แห่งกรุงรัตนโกสินท์  ประเด็นสำคัญที่กรมศิลปากรชี้แจงมีดังนี้
๑.       เวลาแต่ง สมุทรโฆษคำฉันท์  แต่งในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชส่วนหนึ่ง  แล้วจึงมาแต่งต่อจนจบในสมัยรัชกาลที่  ๓  แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
๒.    ผู้แต่ง  ในสมัยอยุธยาเชื่อว่าผู้แต่งคนแรกคือ  พระมหาราชครู  แต่แต่งได้ถึงพิธีสยุมพรของพระสมุทรโฆษและนางพินทุมวดีแล้วท่านคงจะถึงแก่อนิจกรรมเสียก่อน  สมเด็จพระนารายณืมหาราชจึงทรงพระราชนิพนธ์ต่อจนถึงพิทยาธร  ๒  ตนรบกัน  เรื่องก็คงค้างมานานถึง  ๑๖๐  ปี  จนถึงสมัยรัชกาลที่  ๓  สมเด็จพระมหาสมณเจ้า  กรมปรมานุชิตชิโนรสจึงทรงนิพนธ์ต่อตามเนื่อเรื่องย่อในตอนต้นและตามนิทานที่ปรากฏในปัญญาสชาดกจนจบลง
ข้อสันนิษฐานสำหับผู้แต่งในสมัยอยุธยาก็อ้างอิงหลักฐานตามที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า             กรมพระปรมานุชิตชิโนรสทรงนิพนธ์ไว้ท้ายเรื่องว่า
                                    แรกเรื่องมหาราชภิปราย               ไป่จนนารายณ์
                        นเรนทรสืบสรรสาร                                
                                    สองโอษฐฤาสุดตำนาน                เป็นสามโวหาร
                        ทั้งข้อยก็ต้อยติดเติม
           
ทำนองการแต่ง  แต่งเป็นคำฉันท์  มีฉันท์  ๑๑ ,๑๒ ,๑๔ ,  ๑๕, ๑๙,  ๒๑  โดยไม่ได้บอกชื่อฉันท์ และไม่มีการเคร่งครัดในเรื่องครุลหุ  กาพย์ ๑๖  และ ๒๘ ตอนท้ายเป็นโคลงสี่สุภาพ  ๔ บท

จุดประสงค์การแต่ง        
สมุทรโฆษคำฉันท์มีที่มาจากเรื่องสมุทโฆสชาดกในปัญญาสชาดก  เนื้อความเริ่มด้วยบทไหว้ครู  บูชาพระพุทธเจ้า  พระสิวะ  พระพรหม  และพระรามาธิดี  กล่าวถึงมูลเหตุในการแต่งคือ  ได้รับพระบรม-ราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้แต่งเรื่องนี้เป็นบทพากษ์หนัง  จากนั้นกล่าวถึงเรื่องย่อทั้งหมด  แล้วจึงดำเนินเรื่องโดยมีบทไหว้ครูพรรณนาเมืองรมยบุรี  เมืองพรหมนคร การเบิกโรงก่อนเล่นหนัง  ซึ่งมี  ๗  ชนิด  ประกอบด้วย  เล่นหัวล้านชนกัน  เล่นลาวกับไทยฟันดาบ  เล่นชวาแทงหอก  เล่นชนแรด  เล่นแข่งวัวเกวียน  เล่นจระเข้กัดกัน  และแข่งเรืออพระที่นั่งเสี่ยงทายในเดือน ๑๑

สาระสำคัญ
            เนื้อเรื่องมีว่า  เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพระสมุทรโฆษ  พระโอรสของกษัตริย์    พินทุทัต  วันหนึ่งมื่อสิ้นฤดูฝนพวกพรานป่าได้พบฝูงช้างป่าฝูงใหญ่  จึงนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระสมุทรโฆษ  พระองค์จึงทรงกราบลาพระบิดาเพื่อเสด็จไปคล้องช้างในป่า ในขณะพักแรมในป่า  ตอนขากลับพระองค์ได้เสด็จหลับอยู่ใต้ต้นโพธิ์ขณะที่ยังไม่ทันได้หลับ  พระองค์ได้ตรัสสรรเสริญทรงรำพึงรำพันถึงเทพารักษ์และก็ทรงขอพรแล้วทรงเสด็จหลับผล็อยไป  พระโพธิ์เทพารักษ์เกิดความเมตตาสงสารจึงได้      อุ้มสมนางพินทุมวดี  พระธิดาของท้าวสีหนรคุปต์กับนางกนกพดี  แห่งเมืองรมยบุรีเกือบจะถึงรุ่งอรุณจึงทรงนำกลับไปไว้ที่เดิม  เมื่อพระสมุทรโฆษและนางพินทุมวดีทรงตื่นจากบรรทม  ก็ทรงคร่ำครวญโศกถึงกันและกัน  ต่อมานางธารีพี่เลี้ยงได้วาดรูปของเทพและราชาองค์สำคัญๆให้นางพินทุมวดีทีละรูปๆ เมื่อถึงรูปของพระสมุทรโฆษ  นางพินทุมวดีจึงรู้ว่าเป็นพระสมุทรโฆษ  ต่อมาทั้งสองก็ได้อภิเษกสมรสกัน
            วันหนึ่งพระสมุทรโฆษและนางพินทุมวดีเสด็จประพาสสวนเพื่อไปแก้บนที่ศาลเทพารักษ์  ได้พบพิทยาธร (เทพบุตรพวกหนึ่งที่มีฐานะต่ำกว่าเทวดามีหน้าที่เล่นดนตรีบนสวรรค์) ตนหนึ่งชื่อว่ารณาภิมุข  ซึ่งถูกพิทยาธรตนหนึ่งชื่อว่า  รณบุตรทำร้ายเอาบาดเจ็บเพราะแย่งนางนารีผลกัน  และถูกชิงไป                    พระสมุทรโฆษได้ทำการช่วยเหลือ  รณาภิมุขจึงให้พระขรรค์เป็นการตอบแทนบุญคุณ  พระขรรค์นี้เป็นของวิเศษเพราะทำให้ผู้ถือเหาะได้  เมื่อพระสมุทรโฆษและนางพินทุมวดีถือพระขรรค์ไปก็ทำให้เหาะได้        พระสมุทรโฆษและนางพินทุมวดีเสด็จไปยังป่าหิมพานต์ เที่ยวป่าแล้วก็บรรทมไปนาน  ถูกพิทยาธรตนหนึ่งลักพระขรรค์ไป  เป็นเหตุให้พระสมุทรโฆษและนางพินทุมวดีต้องเสด็จกลับเมืองโดยพระบาทระหว่างทางมีการข้ามแม่น้ำสายใหญ่สายหนึ่งด้วยแต่จะข้ามพ้นได้โดยการเกาะขอนไม้ว่ายข้ามไป  แต่เกิดพลัดหลงกัน  นางพินทุมวดีขึ้นฝั่งได้  ส่วนพระสมุทรโฆษทรงได้รับการช่วยเหลือจากนางเมขลาและพระอินทร์  จากนั้นพระสมุทรโฆษได้พระขรรคืคืนจากพิทยาธรด้วยอำนาจของนางเมขลาและพระอินทร์  พระสมุทรโฆษตามหานางพินทุมวดี  พบกันแล้วก็พากันเสด็จกลับพระนคร  ได้ครองราชสมบัติต่อไป

ตัวอย่างสำนวนโวหาร
            พูดถึงการต่อสู้
                                    พลตีนต่างต่อตายไป                                 แต่ยังมั่นไหม
                        ชำนะชำนาญบมิเหงา
                                    ลุยเลือดล้มลงซรอนเซา                            เพียงลำเอวเอา
                        ทะลาวทะลมเดียรดาษ
                                    ตับต่ายก่ายกองกลากลาด                           พลพระประดิฟาด
                        ก็ขาดศีรษะเรี่ยราย
                                    บ้างบาดท้องไส้ทะลักทะลาย                     พุงเพาะขจัดขจาย
                        ก็ตายระนับทับกัน
(สำนวนพระมหาราชครู)


            นมัสการพระพุทธเจ้าพระศาสดาแห่งพุทธศาสนาและยอพระเกียรติพระมหากษัตริย์
                                    พระศรีศรีสรศาสดา                                 มีพระมหิมา
                        นุภาพพ้นตยาคี                                                  
                                    เนืองนาคอสุรกษัตริย์                               ดอนมณีโมลี
                        บำบวงในบาทกมล
                                    โปรดโลกทั้งภูวมณฑล                             ท่านพรหมบดล  
                        ก็ถึงแก่สรณบคลา                       
                                    ข้านบน้อมด้วยใจสา-                               ทรทูลบาทา
                        รพินทุพระมุนีวร
                                    ไหว้ไทธาดาสังกร                                   พระพิษณุอันศร
                        สักดิไชยเดชะ
                                    ขอสวัสดิพิพัฒชำนะ                                ไชยสิทธิธิตบะ
                        จงสานติสุขธาษตรี
                                    พระบาทกรุงไท้ธรณี                                รามาธิบดี
                        ประเสริฐเดโชไชย
                                    เดชะอาจผโอนท้าวไท                              ทั่วทั้งภพไตร
                        ตระดกด้วยเดโชพล
(สำนวนพระมหาราชครู)


            รณาภิมุขถูกทำร้าย
                                    กินใจก็คิดแค้นคุณพระมน-                       ตประสิทธิพิทยา
                        อยู่ศัลยคิดฤทธิคุณา                                              กลตนนบเปนการ
                                    แสนโศกสาหสกำสรด                              ดิเสนาะทั้งแลดาน
                        เดือดร้อนรำพึงอนุชพาล                                       ทุกเมื่อนิรันดร
                                    โอโอ๋มาทำทุกขทำงล                               เพราะว่าพรากพธูสมร
                        เสมอหายหทัยทุกขทร-                                         มนัสก็พิลาป
                                    อ้าแม่คือบงกชอันงาม                              และภมรมาชมชราบ
                        ชีพิตพีนิก็มาทราบ                                               นุชกามแกล้งผจง
(สำนวนสมเด็จพระนารายณ์)


รณาภิมุขคร่ำครวญ
                                    พิทยาธรทุกข์ลำเค็ญ                                 ครวญคร่ำร่ำเข็ญ
                        บ่รู้กี่ส่ำแสนศัลย์
                                    ต้องศัตราวุธฟอนฟัน                               กายายับยัน
                        แลเลือดก็ไหลเล่ห์ธาร
                                    บาดแผลแหล่หลายเหลือประมาณ              สบศาสตร์การวิการ
                        วิกลยลพึงสยบ
                                    เฉกโชลมชลครั่งหลั่งลบ                          ทั่วศริราพยพ
                        ประดักประดาษอาดูร
                                    เจ็บอายหลายทุก์เพิ่มพูน                           เจ็บอาตมใครปูน
                        แลเจ็บอุระประมาณ
                                    เจ็บจากพรากนุชนงคราญ                         เจ็บพ่ายภัยพาล
                        พินาศอนาถเน่งนอน
                                    ไป่พานเพื่อนไร้ใครจร                             เจ็บเจียนเมือมรณ์
                        จักมอดแต่เอกากาย
                        (สำนวน  สมเด็จพระมหาสมณเจ้า  กรมพระปรมานุชิตชิโนรส)


คุณค่าจากวรรณคดี
            ๑. คุณค่าด้านวรรณศิลป์  มีสำนวนโวหารไพเราะจับใจ  ใช้ถ้อยคำได้เหมาะกับฉันท์  นอกจากคำภาษาไทยแล้วยังมีคำบาลี  สันสกฤต  และคำเขมร  ที่ใช้อยู่ในสมุทรโฆษคำฉันท์  มีจินตนาการ  ได้อารมณ์  พรรณนาชมธรรมชาติ พฤกษา และสัตว์ทั้งหลาย  ถือกันว่าเป็นยอดของวรรณคดีประเภทฉันท์  ดังที่ปรากฏอยู่ในเรื่อง  ตามบทประพันธ์
                                    พระเสด็จชระเมียงชม                              มฤคมาศทั้งคู่เคียง
                        ประอรประเอียงเมียง                                           มฤคเนตรเพราพราย
                                    ตาทรายลออเอา                                       จิตต์ใจเยียตาทราย
                        ตรูใจเพื่อใคร่ชาย                                     แลละลานทั้งแลดู
                                    สันโสงคณาสาร                                      แลสะกอด้วยสารพธู
                        ไกรสรมาแกมสู                                                  กรเกลื่อนก็กรายกราน
                                    ในจอมคิรีมี                                            จมรีอันนงคราญ
                        เห็นหางประเล่ห์พาล                                           พธูทรส่ายผม
                                    ยองทองอันท่องท้อง                                ธรณีดูสระสม
                        เยื้องย่องมาชายชม                                              สมเด็จท้าวเสด็จคลาย
           


๒.คุณค่าด้านสังคมและสะท้อนวิถีไทย  ได้แสดงให้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของคนชาวอยุธยาสมัยนั้นที่เชื่อในการบนบานศาลกล่าว  การตั้งโรงทาน  ความเชื่อในกฎแห่งกรรม  ตลอดจนการละเล่นต่างๆ
            ๑) ความเชื่อเรื่องเทพยดาที่สิงสถิตอยู่ตามที่ต่างๆ  ความเชื่อที่ว่าทุกสถานที่จะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งที่เป็นเทวดา  ภูติผี  ปีศาจสิงสถิตผูกผันอยู่กับวิถีชีวิตของคนไทยมายาวนาน  เมื่อเวลาจะไปพักค้างคืนยังสถานที่ต่างๆผู้ใหญ่มักจะสอนว่าให้ยกมือไหว้เพื่อขอขมาทุกครั้ง ซึ่งความเชื่อประการนี้ได้ปรากฏในเรื่อง  ดังบทประพันธ์
                                    อ้าพระอันรักษ์สัตวโลก                            ยและโลกยควรครอง
                        อ้าพระอันรักษและจำนอง                        สัตวโลกยสงสาร
                                    อ้าพระอันรักษจะมารัก-                           ษอย่าคลายพยาบาล
                        กันสรรพโทษจงอย่าพาน                                      ภยในพนาไลย
                                    เกรงกันพลาพลนิกร                                อันมานอนในพงไพร
                        กันสรรพโทษและจัญไร                                       จงอย่าร้อนอย่าปรารมณ์
๒) การละเล่นเบิกโรงก่อนเล่นหนัง  ดังบทประพันธ์
(เรื่องเบิกโรง ๑)
                                    จะเล่นหัวล้าน                 ทั้งสองหัวบ้าน                คือหน้าผากผา
                        จะจำชนกัน                                คในสวภา                      จะดูหวข้า
                        ทั้งสองใครแข็ง
(เรื่องเบิกโรง ๒)
                                    จะเล่นเถลิงลาว               ทั้งสองสามหาม              ชวนกันฟันแทง
                        ผู้ใดดีจริง                                   จักรู้ตักแรง                     ใครดีคำแหง
                        จะเห็นฝีมือ
(เรื่องเบิกโรง ๓)
                                    จะเล่นหลายลบอง           ชวาทั้งสอง                     พันฦกไทฦๅ
                        กุมไม้ทายทับ                              จรีกับมือ                        ระริบคมถือ
                        ครวีวางมา
(เรื่องเบิกโรง  ๔-๕)
                                    จะเล่นเถลิงแรด              ระเริงผันแผด                 ระริบนอผลา
                        จะเล่นวัวเกวียน                          ระเบียนชาวนา               ประกวดกันมา
                        แลเล่นเลวง
(เรื่องเบิกโรง  ๖)
                                    จะเล่นจระเข้                  พันฦกจริงเอ                   อันเขาลือเพรง
                        เรียกท้าวพันวัง                            แลอ้ายนักเลง                  จะเปนเลบง
                        บันสมสำรวล
(เรื่องเบิกโรง  ๗)
                                    จะเล่นเรื่อผจง                 แลพลประมง                  เขาพายดูควร
                        ดูเมื่อกัดพลัด                              แลพลพ่วงพรวน             ประนังชมชวน
                        เทียมหัวตระการ




เอกสารอ้างอิง
สมุทรโฆษคำฉันท์.  พิมพ์ครั้งที่  ๕.  ( ๒๕๐๕). กรุงเทพฯองค์การค้าของคุรุสภา. ศึกษาภัณฑ์พาณิชย์.มหาวิทยาลัย
                 สุโขทัยธรรมธิราช.  (๒๕๓๓).  
วรรณคดีไทย.  พิมพ์ครั้งที่  ๒.  (๒๕๕๕).สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช. เอกรัตน์  อุดมพร.  (๒๕๔๖).  วรรณคดีสมัยอยุธยา.  กรุงเทพฯพัฒนาศึกษา.


ผู้จัดทำ   
นางสาวณัฏฐวิกา         เถื่อนประดิษฐ์  
นางสาวหงส์หยก         ดุริยะดำรง                








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น